“เทพไท”เปิดใจทิศทางการเมืองหลังถูกพักโทษ แม้ถูกตัดสินทางการเมือง 10 ปี แต่เตรียมส่งคนในครอบครัวที่เหลือ4คนลงเล่นการเมืองต่อ ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ-ใช้เวลาเขียนหนังสือชีวิตในคุก16เดือนและขายกาแฟ-ยืนยันได้ออกจากสังกัดพรรค ปชป.แล้วโดยปริยาย และสนับสนุนการเมืองแบบสร้างสรรค์
เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 7พย.2566 ที่บ้านเลขที่ 156 ม.1 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราชและนักการเมืองชื่อดัง ได้เปิดแถลงข่าวกับสื่อมวลชนถึงทิศทางทางการเมืองของตนหลังได้รับพักโทษจากกรมราชทัณฑ์โดยต้องติดกำไลEMที่ข้อเท้าเป็นเวลา 8เดือนว่า ในส่วนของตนต้องไปติดกำไลEMภายใน3วันที่กรุงเทพมหานครเพราะตนแจ้งที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร โดยทิศทางการเมืองของตน โดยจะสนับสนุนการทำการเมืองแบบสุจริต ทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ ซึ่งจะเปิดกว้างไม่สังกัดพรรคไหนเพราะตนได้ออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว และขายแฟยี่ห้อเทพไท ซึ่งกำลังออกสู่ตลาดอยู่ในขณะนี้ และเขียนหนังสือทำพ็อคเก็ตบุ๊คเขียนเรื่องราวภายในคุก480วันหรือ16เดือน ตามที่อดีตนายกชวน หลักภัยให้คำแนะนำ และในช่วงที่ตนอยู่ในเรือนจำได้นั่งแต่เพลงที่เกี่ยวกับชีวิตเรือนจำ15เพลง ซึ่งจะได้ผลิตออกสู่ตลาดต่อไป อยู่ระหว่างการประสานกับค่ายเพลงต่อไป และอาจจะไปวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองทางทีวีช่องใดช่องหนึ่งเพราะตนมีประสบการณ์เคยทำรายการทีวีสายล่อฟ้ามาก่อน นี่คืออนาคตของตนที่จะทำหลังจากออกจากคุก
นายเทพไทยังกล่าวถึงทิศทางการเมืองของตนว่า สำหรับผมและนายกมาโนช ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไป10ปีก็ไม่สามารถที่จะดำเนินงานทางการเมืองอย่างเป็นทางการได้ แต่ว่าก็คงจะเป็นที่ปรึกษาให้คำปรึกษาช่วยเหลือทีมงานและบุคคลในครอบครัวซึ่งบ้านผมมีทั้งหมด8คนพี่น้อง เราถูกตัดสิทธิไป2คนเหลือ6คน แต่ว่ายังที่พอจะเรื่องการเมืองเพื่อสานต่อภาระกิจได้สืบทอดเจตนารมย์ของครอบครัวได้ก็มีจำนวน 4คน คนแรก ผศ.เชาวน์วัศ เสนพงส์ อดีตนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราชซึ่งนายกเชาวน์วัศ รอการตัดสินใจของพรรค ปชป.ว่ามีการเลือกหัวหน้าพรรค ถ้าหากว่าเป็นคุณอภิสิทธิ์ นากเชาวน์วัศก็อยากจะกลับประชาธิปัตย์
2.คือคุณพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรค รทสช.ซึ่งเป็น ผช.สส.ของคุณธนกร วังบุญคงชนะ อีกด้วย คนที่ 3คือน้องสาวคนเล็ก น้องมุก จริยา เสนพงศ์ ซึ่งขณะนี้ทำงานการเมืองภาคประชาชนเป็นเอ็นจีโอกลุ่มกรีนพีช ซึ่งพรรคก้าวไกลสนใจที่อยากจะเชิญน้องมุกไปเป็นสมาชิกพรรคลงสมัครในนามพรรค แต่ติดเงื่อนไขเป็นผู้นำเอ็นจีโออยู่ก็ไม่สะดวกที่จะไปพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นนศ.รุ่นเดียวกับ อ.ปิยะบุตร พรรคก้าวไกล และนายครรชิต เสนพงส์ ก็พร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในพรรคก้าวไกลซึ่งตอนนี้ก็เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลแล้วตอนนี้ ครอบครัวผมที่จะทำการเมืองก็มีอยู่4คนนี้เท่านั้น แต่ว่าจะดำเนินการอย่างไรก็เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ส่วนผมยังคงสนับสนุนการเมืองแบบสุจริตไม่สร้างอิทธิพลไม่ซื้อเสียงไม่ฮั้วประมูลไม่รับเหมา ไม่หากินกับงบประมาณแผ่นดินพรรคไหนใครก็ได้ผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนถ้าหากว่าทำการเมืองโดยไม่ซื้อเสียงโดยไม่ใช้เงิน เพราะผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่ามีการซื้อเสียงกันมากที่สุดและมีการซื้อเสียงใช้เงินกันทุกพรรคยกเว้นพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคก้าวไกลอาจจะมีบ้างแต่ว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่มีพ่อแม่เขามีฐานะซึ่งอาจจะช่วยเหลือลูกในการจัดตั้งหัวคะแนนก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ว่าคะแนนพรรคคะแนนปาร์ตี้ลิสต์เขาไม่ได้ซื้อเลยซึ่งแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ
เรื่องการซื้อเสียงซึ่งเราจะไปคาดหวังจาก กกต.ไม่ได้เลย ผมนี่ผิดหวังกับ กกต.มากเพราะว่า กกต.ประกาศผลเลือกตั้งปี66ทั้งี่มีการซื้อเสียงกันทั่งประเทศ แต่ว่าปล่อยผีหมดทั้งประเทศแล้วให้คนชั่วเข้าไปอยู่ในภาพอย่างน้อย1ปี ซึ่เราไม่อยากให้คนชั่วซื้อเสียงเข้าไปนั่งในภาพแม้แต่วินาทีเดียว แต่วันนี้คุณปล่อยให้เขาไปโหวตเป็นกรรมาธิการและเป็นตำแหน่งต่างๆในสภาหมดทุกเขตอันนี้ผมรับไม่ได้ กับ กกต.เพราะหน้าที่ของกกต.ต้องกลั่นกรองว่าใครทำผิดกม.ก็ต้องตัดสิทธิไป ให้ใบเหลืองใบแดงใบส้มก็ว่าไปตามกติกาแต่คุณมากลัวกระแสสังคมแล้วปล่อยผีหมดเป็นการสร้างความเสียหายไม่ควรจะมีกกต.ดีกว่าควรจะยกเลิกดีกว่าให้ไปสู่การเลือกตั้งของกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิมน่าจะคุ้มกว่างบประมาณที่ให้กับ กกต. เพราะฉะนั้นทิศทางการเมืองของตนก็ยังยืนยันสนับสนุนการเมืองสุจริตต่อไปและทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ เปิดกว้างเพราะผมไม่ได้สังกัดพรรคแล้วเพราะผมออกจากพรรคปชป.โดยปริยายหลังจากถูกศาลตัดสิทธิ10ปี