เมื่อวานนี้(8ตค.) ที่บริเวณคลองบางกลม วัดท่าสะท้อน หมู่ที่ 2 ต.ชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินการกำจัดวัชพืชและทำลายสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นางกนกพร เดชเดโช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช นายชัยชนะ เดชเดโช นายประกอบ รัตนพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและรายงานสรุปผลการปฏิบัติงาน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังติดตามการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมขังที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากมีการคาดกการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนในปีนี้จะมีมากกว่าปีที่ผ่านมา และพื้นที่อำเภอชะอวด เป็นพื้นที่รับน้ำที่สำคัญของจังหวัด โดยมวลน้ำจะมาพักรอในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อรอระบายลงสู่อ่าวไทย จึงจำเป็นต้องมีการหารือร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำสำหรับไว้ใช้ในหน้าแล้ง และสร้างทางน้ำไหลเพื่อการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยคลองบางกลม หมู่ที่ 2 ตำบลชะอวด มีความยาวประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้ระยะในการขุดลอกมากพอสมควร แต่เมื่อการดำเนินการแล้วเสร็จจะส่งผลให้สามารถเร่งระบายน้ำจากเขตอำเภอชะอวด ไหลลงสู่อ่าวไทยยได้เร็วขึ้น ลดผลกระทบและความเสียหายด้านผลอาสิน ทรัพย์สินพี่น้องประชาชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการคาดการณ์ในปีนี้จะมีปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ภาคใต้ อย่างยิ่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมากกว่าในห้วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คือในห้วงระหว่างเดือนปลายตุลาคม 2564 ถึงต้นเดือนมกราคม 2565 จำเป็นต้องสร้างทางเปิดทางให้น้ำไหลได้สะดวก และเก็บกักน้ำไว้บางส่วนเพื่อทำการเกษตรและใช้ประโยชน์ในหน้าแล้ง เบื้องต้นต้องเร่งกำจัดวัชพืชในลำน้ำ โดยขณะนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เข้าดำเนินการขุดลอกคลอง โดยระยะเวลาที่เหลือประมาณ 2 อาทิตย์จากนี้ ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ พยายามทุกทางเพื่อทำให้สามารถกำจัดวัชพืชให้ได้มากที่สุด
จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะ ได้เดินทางต่อเพื่อตรวจสภาพพื้นที่ที่ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้าน ของหมู่ที่ 4 ตำบลชะอวด กับหมู่ที่ 7 ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สัญจรได้สะดวก และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่.