ผวจ.นครศรีธรรมราชตรวจเยี่ยมให้กำลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 เด็กอายุ5-11ปี


เมื่อเช้า 8 ก.พ.ที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผวจ.นครศรีธรรมราช เดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กำลังเด็กอายุ5-11ปี ที่ป่วย7กลุ่มโรคเรื้อรัง ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็มแรก โดยมี นพ.ทรงเกียรติ เล็กตระกูล ผอ.รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช และคณะแพทย์พยาบาลให้การต้อนรับและนำตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่บรรดาเด็กๆโดยมีผู้ปกครองจำนวนมากนำลูกหลานมาเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์จำนวนมาก ซึ่งนายไกรศร ได้มอบตุ๊กตาให้กำลังใจบรรดาเด็กๆที่กำลังฉีดวัคซีนด้วยบรรยากาศเป็นกันเองและถ่ายภาพกับบรรดาเด็กๆอย่างคึกคักเพื่อลดความตรึงเครียด
นายไกรศร วิศิษฐ์วงศ์ ผวจ.นครศรีธรรมราช ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนในเด็กในจ.นครศรีธรรมราช เฉพาะเด็ก5-11ขวบเรามีเป้าหมายอยู่ที่ 134,000 คน วันนี้เราได้วัคซีนรอบแรกมาก็ประมาณ34,000โด๊ส วางแผนฉีดใน5สัปดาห์ให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป้าหมายในการฉีด เรามีเป้าหมายสำคัญ2-3เป้าหมาย เป้าหมายแรกอย่างที่ รพ.มหาราชในวันนี้เป็นเป้าหมายเด็ก5-11ขวบที่เป็นผู้ป่วยหรือเป็นผู้อ่อนแอ จะอยู่ในกลุ่มหนึ่ง เป้าหมายที่ 2 ก็คือนักเรียนที่เรียนออนไซส์ เป้าหมายที่3ก็คือใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่างๆ
ลักษณะของการดำเนินการเป้าหมายต่างๆ เริ่มต้นเราใช้ความสมัครใจของผู้ปกครองในการพิจารณา และก็ใช้การประสานงานจากสถานศึกษาต่างๆ ส่วนการดูกลุ่มเสี่ยงก็ให้ดูไปทางแพทย์ที่อยู่ประจำ รพ.เป็นผู้ประเมินสถานการณ์ว่าคนไหนเป็นคนเสี่ยงที่จะต้องเข้ามาในเป้าหมายที่ 3

ในการฉีดที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราชในวันนี้จะเป็นเป้าหมายอ่อนแอหรือเป็นผู้ป่วย เราวางแผน2วันแรกก่อนประมาณ220กว่าคนวันละ100กว่าคน
นโยบายแนวการการปฏิบัติที่สำคัญกรณีฉีดผู้ป่วยเราวางไว้4แนวทาง คือแนวทางที่ 1คือก่อนฉีด แนวทางที่ 2คือขณะฉีดและแนวทางที่ 3คือหลังฉีดและแนวทางที่ 4คือดูเรื่องของเอกสาร การประเมินสถานการณ์คือลงละเอียดให้ชัดเจน คือก่อนฉีดวันนี้ต้องบอกว่าเมื่อเป็นเด็กมีอาการแล้วมีอาการป่วยและอ่อนแออยู่ การประเมินโดยกุมารแพทย์หรือหมอเด็กต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษต้องมีความรอบคอบ
แน่นอนว่าเรารู้ว่าวัคซีนผ่านการวิจัย ผ่าน อย.อะไรต่างๆแต่ดูอาการที่สอดคล้องเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ก็อยากให้ว่าในการฉีดในผู้ป่วยเด็ก5-11ขวบที่อ่อนแอ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของกุมารแพทย์โดยตรงอย่างใกล้ชิด และเพิ่มก่อนฉีดอีกอันที่เป็นแนวทางปฏิบัติก็คือว่าให้กำลังใจการพูดคุยความอบอุ่นของผู้ปกครองต้องดูให้ดี เราไม่ต้องการให้เกิดความระแวงอุปทานเป็นหมู่มาก เพราะเด็กมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นการฉีดต้องมีกรรมวิธีพอสมควร
2 ในขณะฉีดก็เช่นเดียวกัน วันนี้เราต้องเอาบทเรียนต่างๆมาให้เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ได้ดูอย่างใกล้ชิด เช่นขวดหนึ่งเราได้กี่โด๊ส การรอการใช้เข็ม การใช้อุปกรณ์ต่างๆต้องให้ความสำคัญและเช็ครายละเอียด 3.หลังฉีดต้องมีการดูอาการจริงผมอยากให้ดูอาการมากกว่าครึ่งชม.สักนิด
ซึ่งการดูอาการไม่ใช่นั่งแล้วสังเกตการณ์อย่างเดียว ผมให้แนวทางว่าหมอหรือเจ้าหน้าที่ต้องช่วยในการซักถามว่าเป็นอย่างนี้มั๊ยอย่างโน่นมั๊ยหนาวมั๊ย คืออาจจะต้องเอาสิ่งที่เป็นกังวลที่เป็นอุปสรรคหรือการข้างเคียงมาซักถามเพื่อความรอบคอบ ฉะนั้นกรรมวิธีในการดูของเด็กจะต้องเพิ่มเติมขึ้น และข้อ4ให้เน้นการลงเวชระเบียนคนไข้ของเด็กให้ค่อนข้างละเอียด กรณีที่มีปัญหากระทบขึ้นเราจะได้หาสาเหตุหรือสมมุติฐานในการรักษาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น